th line-th-en en  
thaicounsel
 
ad-thaicounsel
 
 
ข่าวสาร arrow ความจำเป็นในการพัฒนาการให้คำปรึกษาแนะนำ(Counseling) ในกลุ่มนักวิชาชีพสังคมสงเคราะห์และนักจิตวิทยา  
 
     
ความจำเป็นในการพัฒนาการให้คำปรึกษาแนะนำ(Counseling) ในกลุ่มนักวิชาชีพสังคมสงเคราะห์และนักจิตวิทยา  

ความจำเป็นในการพัฒนาการให้คำปรึกษาแนะนำ(Counseling) ในกลุ่มนักวิชาชีพสังคมสงเคราะห์และนักจิตวิทยา

ความจำเป็นในการพัฒนาทักษะการให้คำปรึกษาแนะนำ (Counseling)

ในกลุ่มนักวิชาชีพสังคมสงเคราะห์และนักจิตวิทยา

 

ในประเทศที่พัฒนาแล้ว  ประชาชนยอมรับว่าการมีปัญหาเล็กบ้างใหญ่บ้างเป็นเรื่องปกติสำหรับมนุษย์ทุกคน  หากปรึกษาคนใกล้แล้วไม่ได้ผล  ก็ต้องไปใช้บริการของนักวิชาชีพ  หน้าที่ของรัฐบาลคือ  จัดสรรจัดหาบุคลากรที่จะคอยทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแนะนำกับประชาชนตั้งแต่เกิดจนตาย  เริ่มจากนักวิชาด้านสังคมสงเคราะห์  หรือนักสังคมสงเคราะห์ (Social  Worker)  จะช่วยจัดการด้านสวัสดิการสังคม ตอบสนองต่อความต้องการความจำเป็นด้านการดำเนินชีวิต เช่นที่พักอาศัย เครื่องอุปโภคบริโภค งานอาชีพ และประสานความสัมพันธ์ในครอบครัว เป็นต้น   

นักจิตวิทยา (Counseling Psychologist) ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแนะนำด้านสภาพจิตใจและแก้ไขพฤติกรรมเริ่มตั้งแต่นักเรียนในระบบโรงเรียน จะต้องมีนักจิตวิทยาเด็กและวัยรุ่นไว้ประจำเพื่อดูแลการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงในช่วงเด็กและวัยรุ่นโดยตรง  ตลอดจนนักจิตวิทยาที่ทำงานในสถานพยาบาล  หน่วยงานรัฐและเอกชน  ตลอดจนเปิดคลินิกส่วนตัวเพื่อให้บริการปรึกษาแนะนำ (Counseling) ปัญหาชีวิต ครอบครัว      คู่สมรสแก่ประชาชนทั่วไปในชุมชนนั้น ๆ 

จิตแพทย์ (Psychiatrist)  เป็นแพทย์ที่ทำหน้าที่ป้องกัน รักษา และพัฒนา ผู้ป่วยด้วยอาการทางจิตและอาการทางประสาท  หลังจากการให้บริการของนักจิตวิทยาหรือสังคมสงเคราะห์มีข้อจำกัดหรือไม่สามารถช่วยเหลือดูแลอาการของผู้ที่ป่วยทางจิตใจจนเกินความสามารถของนักจิตวิทยาและนักสังคมสงเคราะห์  ซึ่งตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันประเทศไทยให้ความสำคัญกับจิตแพทย์เป็นหลัก ทั้ง ๆ  ที่จำนวนจิตแพทย์ในประเทศไทยจนถึงวันนี้มีเพียง  580 คน ต่อประชากร  67 ล้านคนทั้งประเทศ  นอกจากนี้ยังมีพยาบาลที่อบรมด้านจิตเวชศาสตร์เป็นผู้ช่วยอีกเพียงพันกว่าคน  เฉพาะปัญหาผู้ป่วยด้านจิตเวชอย่างเดียว  จิตแพทย์ก็ไม่สามารถให้บริการดูแลได้อย่างทั่วถึง  ประชาชนผู้มีปัญหาทั่วไป  เช่น ปัญหาครอบครัว  คู่สมรส   บุคลิกภาพขัดแย้ง ความรุนแรงในครอบครัว การทะเลาะวิวาท การงาน การเงิน ตลอดจนปัญหาบุตรหลานที่เป็นเด็กและเยาวชน และอื่น ๆ ไม่สามารถเข้าถึงความช่วยเหลือจากนักวิชาชีพโดยตรงได้ (ประชาชนจำนวนมากที่มีปัญหาครอบครัวจึงมุ่งหน้าไปใช้บริการของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดในชุมชน เพื่อช่วยจัดการแก้ไขปัญหาครอบครัวของตน  เพียงเพราะไม่รู้จะไปปรึกษาหรือขอความช่วยเหลือจากใคร นำไปสู่ความสับสนซับซ้อนด้านภาระหน้าที่การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจมากยิ่งขึ้น)

ทั้งนี้ ดิฉัน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ (พิเศษ) อรอนงค์  อินทรจิตร  ซึ่งมีประสบการณ์ในการทำงานด้านการบริหารจัดการและบริการสุขภาพจิตของโรงพยาบาลเอกชนทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ  ได้มองเห็นจุดอ่อนของปัญหาความขาดแคลนจิตแพทย์  แต่ศักยภาพและคุณสมบัติของนักจิตวิทยาและนักสังคมสงเคราะห์ที่มีอยู่ไม่สามารถจะอุดช่องว่างหรือช่วยให้ประชาชนที่มีปัญหาสามารถเข้าถึงบริการด้านสุขภาพจิต  ชีวิต  ครอบครัว ฯลฯ ในประเทศไทยได้  จึงได้ร่วมมือกับเพื่อนผู้หญิงหลายคนในการก่อตั้ง  “ศูนย์ฮอทไลน์”  ศูนย์ให้คำปรึกษาแนะนำด้านสุขภาพจิต  ชีวิต  ครอบครัว  คู่สมรส  วัยรุ่น และสุขภาพกาย  ผ่านทางโทรศัพท์ และนัดมาพบที่สำนักงาน  โดยทีมงานนักจิตวิทยา และนักสังคมสงเคราะห์ที่ผ่านการฝึกอบรมทักษะการให้คำปรึกษาแนะนำ (Counseling) แล้ว

ที่สำคัญ  การฝึกทักษะการให้คำปรึกษาแนะนำสำหรับนักจิตวิทยาและนักสังคมสงเคราะห์  เป็นเรื่องจำเป็นเพราะทักษะการให้คำปรึกษาแนะนำ หรือ Counseling เป็นจิตวิทยาในการติดต่อสื่อสารพื้นฐานที่สำคัญ  ซึ่งในประเทศที่พัฒนาแล้ว  ทั้งนักจิตวิทยาหรือผู้ที่เรียนจบด้านจิตวิทยาและสังคมสงเคราะห์  จะต้องมีทักษะนี้เป็นเครื่องมือทำงานให้การบริการบรรลุวัตถุประสงค์อย่างมีประสิทธ์ภาพ  นั่นคือทั้งการป้องกัน  การบำบัด  และการพัฒนาผู้มีปัญหาให้สามารถเรียนรู้ในการช่วยเหลือตัวเองต่อไปได้  หลังจากมาใช้บริการการให้คำปรึกษาแนะนำนี้แล้ว

แต่ในประเทศไทย ผู้ที่เรียนจบด้านจิตวิทยาในระบบสาธารณสุขส่วนใหญ่จบจิตวิทยาคลินิก (Clinical Psychology)  ซึ่งอาจจะชำนาญในด้านการวิเคราะห์พฤติกรรมโดยแบบทดสอบ  แต่ขาดทักษะในการให้คำปรึกษาแนะนำ (Counseling)  ซึ่งเป็นทักษะเฉพาะสำหรับนักจิตวิทยาการให้คำปรึกษาแนะนำ (Counseling  Psychologist)  ในการป้องกันปัญหา บำบัดจิตใจ และพัฒนาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้มีปัญหา  ซึ่งปัจจุบันจำนวนนักจิตวิทยาด้านให้คำปรึกษาแนะนำมีจำนวนไม่กี่ร้อยคน น้อยยิ่งกว่าจำนวนจิตแพทย์ เช่นเดียวกับจำนวนนักสังคมสงเคราะห์ปัจจุบันมีรวมกันทั้งประเทศจำนวน  1,700  คน  แม้ทั้งหมดอาจจะได้เรียน  พื้นฐานการให้คำปรึกษาแนะนำหรือ  Counseling  มาบ้าง  แต่เพราะขาดประสบการณ์จากการฝึกฝนจริง  ทำให้นักสังคมสงเคราะห์ และผู้ที่เรียนจบด้านจิตวิทยาเหล่านี้ ไม่สามารถให้คำปรึกษาแนะนำกับประชาชนโดยตรงได้

ปัจจุบันผู้ที่เรียนจบจิตวิทยาและนักสังคมสงเคราะห์เหล่านี้ ได้รับมอบหมายหน้าที่ให้ทำงานด้านเอกสาร  ธุรการ วิชาการ เพื่อพัฒนาหรือก้าวไปสู่การเป็นนักบริหาร  ซึ่งหน้าที่ความรับผิดชอบดังกล่าว ผู้ที่เรียนจบสาขาพัฒนาสังคม การจัดการทั่วไป การบริหารรัฐกิจ  บริหารธุรกิจ  หรือการบัญชี ฯลฯ  ก็สามารถทำงานเหล่านี้ได้  ทำให้คุณค่าและศักดิ์ศรีของนักสังคมสงเคราะห์ลดลงไปเรื่อย ๆ ในสายตาประชาชน  ซึ่งตรงกับคำพูดวิจารณ์ของผู้คนมากมายที่ว่า  “ถ้าคุณแจกอาหาร  แจกผู้ห่มเป็น  คุณก็เป็นนักสังคมสงเคราะห์ได้!”

เห็นได้ว่า  ท่ามกลางปัญหาสังคมที่สับสนวุ่นวายมากมายในทุกครอบครัวทุกวันนี้  หากไม่มีเงินไปรับการบำบัดรักษาจากจิตแพทย์ในสถานพยาบาลหรือโรงพยาบาลเอกชนแล้ว ประชาชนที่วิ่งวนอยู่กับปัญหาชีวิต ครอบครัว  การปรับตัวกับสิ่งแวดล้อมปัจจุบัน  ต้องกระเสือกกระสนดำเนินชีวิตไปตามลำพัง  ขาดผู้ช่วยที่ชี้แนะทางอย่างสร้างสรรค์  ขาดกำลังใจ ขาดความกล้าที่จะคิดและตัดสินใจด้วยตนเองอย่างถูกต้อง  ที่สำคัญหากปล่อยให้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรด้านสุขภาพจิต  ที่มีคุณภาพในการให้ความช่วยเหลือกับประชาชนอย่างมืออาชีพ  และการช่วยให้ประชาชนสามารถเรียนรู้ที่จะช่วยเหลือตัวเองต่อไปได้  การดำเนินชีวิตในครอบครัวไทย ในสังคมไทยทุกระดับ  จะกลายเป็นภาระที่ซับซ้อนต่อไปเรื่อย ๆ  และการขาดแคลนบุคลากรด้านสุขภาพจิต  กลายเป็นจุดอ่อนในช่วงการเปลี่ยนแปลงพัฒนาประเทศไทยในฐานะเป็นหนึ่งในผู้เริ่มต้นก่อตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC เมื่อเทียบกับสมาชิกจากประเทศต่าง ๆ ขณะนี้

ตลอดกว่า 30  ปีที่มูลนิธิศูนย์ฮอทไลน์ ในฐานะขององค์กรสาธารณประโยชน์หรือเอนจีโอ ที่ต้องการช่วยอุดช่องว่างของงานบริการของรัฐ โดยทีมนักวิชาชีพที่มีประสบการณ์  ได้เปิดให้บริการปรึกษาแนะนำโดยตรง  และเปิดหลักสูตรฝึกอบรมนักวิชาชีพ ที่เรียนจบทุกสาขาจิตวิทยา  สังคมสงเคราะห์  พยาบาล  สาธารสุข ตลอดจนครูแนะแนว  นักการศึกษา นักกฎหมาย  เจ้าหน้าที่ตำรวจ  และเจ้าหน้าที่ขององค์การเอนจีโอ ที่ทำงานพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้หญิง เด็ก  ครอบครัวและชุมชน  เพื่อให้นักวิชาชีพเหล่านั้นมีคุณภาพในการทำงานอย่างแท้จริง 

อย่างไรก็ตาม  การขาดความเข้าใจ ขาดทักษะและขาดประสบการณ์ของเจ้าหน้าที่ระดับสูงในหน่วยงานของรัฐ  ท่ามกลางการพัฒนาประเทศไทยภายใต้ระบบอุปถัมภ์  ทำให้กระบวนการและทักษะการให้คำปรึกษาแนะนำ หรือ Counseling ค่อย ๆ ลบเลือนเสมือนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เริ่มจาก

  1.  ครูอาจารย์ผู้ทำหน้าที่สอนสั่งวิชา Counseling นี้  ส่วนใหญ่เป็นบัณฑิตที่เรียนเก่ง แต่ขาดประสบการณ์

ในการทำงาน เมื่อถ่ายทอดวิชาด้านการให้คำปรึกษาแนะนำ  จึงขาดประสบการณ์จริงที่จะถ่ายทอดให้นักศึกษาเห็นประโยชน์หรือสามารถนำไปใช้ได้  นักศึกษาจึงเรียนเพื่อสอบให้ผ่านหรือเพื่อเกรดอย่างเดียว  ไม่ได้เข้าใจหรือสามารถลงภาคปฏิบัติได้จริง  ๆ

  1. ค่านิยม “ต่างชาติ”  นั่นคือให้ความสนใจว่าจ้าง ครูอาจารย์ต่างประเทศเข้ามาสอนนักศึกษาเป็นบางครั้ง

บางคราว  ทั้ง  ๆ  ที่คนไทยนักศึกษาไทยไม่ชำนาญภาษาอังกฤษ  และสิ่งแวดล้อมทางครอบครัวและวัฒนธรรมประเพณีในประเทศไทย  แตกต่างจากประเทศตะวันตก  มหาวิทยาลัยในประเทศไทยไม่ได้ให้ความสำคัญกับครูอาจารย์คนไทยที่มีประสบการณ์  มีความรู้ความเข้าใจทักษะการให้คำปรึกษาอย่างแท้จริง  ดังเช่นนักจิตวิทยาของมูลนิธิศูนย์ฮอทไลน์ ซึ่งมีประสบการณ์การให้บริการปรึกษาแนะนำและการฝึกอบรมมานานกว่า 30  ปี

  1. ระบบพรรคพวกที่มีอิทธิพลในสังคมไทย นำความอ่อนแอมาสู่การทำงานของ ข้าราชการไทย  นั่น

คือประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่าคุณทำอะไรได้ ดีหรือไม่ดีอย่างไร  แต่สำคัญว่า  “คุณเป็นใคร”  มีพวกพ้องเกี่ยวข้องเป็นลูกน้องใคร  ระบอบพรรคพวกที่พัฒนาชัดเจนยิ่งขึ้นจนกลายมาเป็นระบอบทักษิณ  ที่ถูกอิทธิพลครอบงำความคิด และพฤติกรรมตั้งแต่ระบบในมหาวิทยาลัย  ครูอาจารย์ไม่ได้มุ่งมองการสอนเพื่อประโยชน์ของนักศึกษาและประเทศชาติโดยส่วนรวม  แต่เอื้อประโยชน์เฉพาะตนเอง  ครอบครัวและเพื่อนพ้องที่ยอมรับตนเท่านั้น

  1. ระบบพรรคพวกหรือระบอบทักษิณนี้เอง  เมื่อคนในพรรคของทักษิณเข้ามาเป็นรัฐมนตรีหรือฝ่าย

บริหารก็ได้ใช้ อำนาจควบคุมครอบงำด้านงบประมาณการเงินที่ส่งเสริมเฉพาะนโยบายของตนเท่านั้น  ดังจะเห็นได้ว่ากว่า 10 ปีมานี้  ในเกือบทุกกระทรวงทบวงกรมข้าราชการระดับสูงถูกแต่งตั้งโดยนักการเมืองที่มีอำนาจ และทำงานเฉพาะตามคำสั่งของนักการเมืองและครอบครัวพวกพ้องเท่านั้น  ซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของหน่วยงานเอนจีโอ  ซึ่งส่วนใหญ่ต้องอาศัยเงิน    งบประมาณเล็ก ๆ  น้อย  ๆ จากกองทุนของรัฐที่จัดไว้ให้  หากเอนจีโอใด “Pro” หรือยอมนอบน้อมถ่อมตนให้  ก็จะได้งบประมาณ  เอนจีโอใดไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลก็จะไม่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณ  จึงทำให้เกิดเอนจีโอต่างสีในช่วงระบอบทักษิณตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา

  1. “คนเรียนไม่ได้ทำ  คนทำไม่ได้เรียน!” ทุกครั้งที่มูลนิธิศูนย์ฮอทไลน์เปิดหลักสูตรฝึกอบรมทักษะ

การให้คำปรึกษาแนะนำหรือ Counseling  Training  Course จะต้องเชิญนักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์จากหน่วยงานรัฐบาล  โดยเฉพาะจากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์มาเข้ารับการฝึกอบรมด้วยทุกครั้ง  จะพบว่า เจ้าหน้าที่ที่มาเข้ารับการฝึกอบรมนั้น  เมื่อกลับไปก็จะไปทำงานด้านธุรการหรือบริหารจัดการ ไม่ได้ทำงานให้คำปรึกษาแนะนำกับผู้มีปัญหา  ส่วนผู้ที่ไม่ได้รับการฝึกอบรม กลับเป็นคนทำงานให้บริการประชาชนโดยตรง  ดังเช่นกรณีเจ้าหน้าที่ดูแลบ้านพักพิง หรือสถานสงเคราะห์ต่าง ๆ หรือมีการสลับมาเรียน  แต่เรียนไม่ครบหลักสูตรทำให้รู้บ้างไม่รู้บ้าง  ทำงานอย่างมืออาชีพไม่เป็น จนถึงขณะนี้ คำถามคือ  ในจำนวนนักสังคมสงเคราะห์ 1,700 คน มีกี่คนที่สามารถให้คำปรึกษาแนะนำได้อย่างมืออาชีพ ทั้งที่เป็นหน่วยงานรัฐ  ที่จะต้องเป็นหลักเป็นครูฝึกให้เจ้าหน้าที่รัฐ แต่กลับไม่มีครูฝึก การใช้บริการจากครูอาจารย์มหาวิทยาลัย ก็เหมือนที่กล่าวมา คือครูอาจารย์เหล่านั้นอาจรู้ทฤษฎีแต่ลงภาคปฏิบัติไม่ได้ ทำไม่เป็น แต่เพราะได้ชื่อว่าเป็นหน่วยงานของรัฐ  เป็นมหาวิทยาลัย จึงเข้าถึงงบประมาณได้  จนถึงวันจะพบว่าสถานการณ์ยังวนเวียนอยู่เหมือนเดิมตลอดมา!

  1. พระราชบัญญัติวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ พ.ศ. 2556  เมื่อต้นปี  พ.ศ. 2556 ดิฉัน อรอนงค์ 

อินทรจิตร ได้รับเชิญเป็นหนึ่งในคณะกรรมการวิสามัญ เพื่อพิจารณาร่างเสนอพระราชบัญญัติวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ฯ  ซึ่งนำเสนอโดยนายกสมาคมนักสังคมสงเคราะห์  รองศาสตราจารย์  อภิญญา  เวชยชัย คณบดีคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  ซึ่งร่างที่ส่งมาไม่ได้ระบุคุณสมบัติสำคัญคือการให้คำปรึกษาแนะนำหรือ Counseling เอาไว้  ดิฉันจึงได้เสนอแนะว่า ควรกำหนดบทบาทและคุณสมบัติความเป็นนักวิชาชีพให้นักสังคมสงเคราะห์เหล่านั้นเพิ่มขึ้น  เพื่อให้สามารถทำงานอย่างมืออาชีพได้  ไม่ใช่เป็นเพียงนักสังคมสงเคราะห์ที่ทำด้านธุรการหรือบริหาร  แต่งานบริการประชาชน คือป้องกันบำบัดและพัฒนาทำไม่ได้ และไม่ได้ทำ 

คณะอนุกรรมาธิการฯ จึงได้มีการลงมติเห็นชอบให้เพิ่มทักษะการให้คำปรึกษาแนะนำให้กับนักสังคมสงเคราะห์ที่เรียนจบปริญญาตรีขึ้นมา  ขณะเดียวกันดิฉันได้ขอให้ระบุต่อไปด้วยว่า (อยู่ในบันทึกรายงานการอภิปรายแปรญัตติ)  ให้นักสังคมสงเคราะห์ที่มีประสบการณ์การให้คำปรึกษาแนะนำ สามารถเปิดคลินิกให้คำปรึกษาปัญหาครอบครัว  คู่สมรส และวัยรุ่นได้  โดยไม่จำเป็นต้องมีแพทย์เป็นผู้ดำเนินการคลินิกหรือเป็นเจ้าของคลินิกดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

ทั้งนี้ที่ผ่านมา เนื่องจากนักสังคมสงเคราะห์ และนักจิตวิทยาส่วนใหญ่ไม่มีประสบการณ์เพียงพอจะสามารถเปิดคลินิกเฉพาะการให้บริการปรึกษาแนะนำปัญหาครอบครัว คู่สมรส และวัยรุ่นได้  จึงมีเฉพาะคลินิกจิตเวชเท่านั้นที่ดำเนินการอยู่  ยกเว้นมูลนิธิศูนย์ฮอทไลน์ ที่เปิดคลินิกให้บริการให้คำปรึกษาแนะนำปัญหาชีวิต ครอบครัว  คู่สมรส  ปัญหาวัยรุ่น  ผ่านทางโทรศัพท์และนัดมาพบตั้งแต่ปี พ.ศ.2527 จนถึงปัจจุบัน

พระราชบัญญัติวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ พ.ศ. 2556 นี้  จะให้โอกาสนักวิชาชีพนักสังคมสงเคราะห์  และนักจิตวิทยาที่มีประสบการณ์สามารถให้ความช่วยเหลือกับประชาชนเพิ่มขึ้น  หรือประชาชนสามารถเข้าถึงความช่วยเหลือจากนักจิตวิทยาและนักสังคมสงเคราะห์มากขึ้นในอนาคต  เมื่อนักวิชาชีพพัฒนาทักษะการให้บริการปรึกษาแนะนำขึ้นอย่างมีมาตรฐานเทียบเท่านักวิชาชีพในประเทศตะวันตก

อย่างไรก็ตาม  ระหว่างการพัฒนาเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง พัฒนาและเพิ่มพูนคุณภาพนักวิชาชีพอยู่ขณะนี้ ความเชื่องช้าจากระบบราชการทุกระดับเริ่มตั้งแต่ระดับมหาวิทยาลัย  ในขณะที่เรากำลังก้าวเข้าสู่ AEC  หรือประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน อาจทำให้นักวิชาชีพจากประเทศเพื่อนบ้านที่ผ่านการพัฒนาวิชาชีพมาแล้วเช่น  ฟิลิปปินส์  สิงคโปร์  หรือนักวิชาชีพในภาคตะวันตกสามารถเข้ามาแย่งอาชีพคนไทยโดยเปิด คลินิกให้บริการปรึกษาแนะนำ หรือ Counseling  Clinic  ได้  ดังที่พบเห็นได้ใน “พัทยา” ขณะนี้

 

ข้อเสนอแนะ

ปัจจุบันทุกฝ่าย  ทุกวิชาชีพ  ทุกภาคส่วนต่างเห็นพ้องต้องกันว่า  ประเทศไทยจำเป็นต้องมีการ  “ปฏิรูป” ประเทศไทย  ให้สังคมไทยมั่นคงแข็งแกร่งสมกับความยิ่งใหญ่ที่บรรพบุรุษไทยได้สร้างสมมา  โดยเฉพาะการที่ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นแหล่งอุดมสมบูรณ์และมั่งคั่งของทรัพยากรทางธรรมชาติ หากประชาชนมีจิตสำนึกของความจงรักและภักดีต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ย่อมพร้อมจะมุ่งมองที่การพัฒนาเพื่อผลประโยชน์สูงสุดของผู้คนส่วนใหญ่ในประเทศ ไม่ข้องติดอยู่กับอัตตาของตัวเอง  โดยเฉพาะนักวิชาชีพทางด้านสุขภาพจิต  ครูอาจารย์ผู้ผลิตนักวิชาชีพเหล่านี้ ที่ต้องมองให้กว้างไกล  ด้วยจิตที่มีเมตตา และพยายามมองหาเส้นทางในการพัฒนาส่งเสริมนักวิชาชีพด้านสุขภาพจิต  ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการให้คำปรึกษาแนะนำได้อย่างทั่วถึงมากกว่าที่ผ่านมา โดยเริ่มจาก

  1. 1.               ฝ่ายบริหารสถาบันอุดมศึกษา ต้องสร้างความมั่นใจให้ได้ว่า อาจารย์ที่สอนทักษะการให้

คำปรึกษาแนะนำหรือ Counseling  เข้าใจและสามารถใช้ทักษะการให้คำปรึกษาแนะนำนี้ได้จริง ๆ ไม่ใช่รู้เพียงแค่ทฤษฎี แล้วสอนเพียงแค่ทฤษฎี ที่เหลือให้ผู้เรียนไปคิดเอาเอง!

  1. 2.              นักวิชาชีพ จะต้องให้เกียรตินักวิชาชีพด้วยกัน โดยเฉพาะกรณีที่ตนเองไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ  แต่มี

สถาบันอื่นมีความเชี่ยวชาญกว่า ก็ต้องยอมรับ ไม่ใช่ยอมรับเฉพาะคนต่างชาติเท่านั้น  หลายสิบปีที่ผ่านมามหาวิทยาลัยของไทยเสียเงินงบประมาณในการเชิญนักวิชาชีพ(ฝรั่ง)ด้านการให้คำปรึกษาแนะนำมาสอนเพิ่มทักษะให้กับนักศึกษาและคณาจารย์  ถึงวันนี้ มหาวิทยาลัยเหล่านั้นมีผู้เชี่ยวชาญอย่างแท้จริงหรือไม่?

  1. 3.              มาตรฐานของนักวิชาชีพ ทุกวิชาชีพมีมาตรฐาน  เริ่มจากมาตรฐานของนักศึกษาปีที่หนึ่ง  จะต้อง

รู้และเข้าใจเกี่ยวกับ Counseling อย่างไรบ้าง  เรียนจบปริญญาตรีแล้ว สามารถให้บริการปรึกษาแนะนำได้จริงหรือไม่ เพราะอะไร

  1. 4.              การจัดองค์การด้านสวัสดิการสังคม  ทั้งในหน่วยงานภาครัฐ เช่น  กระทรวงการพัฒนาสังคมและ

ความมั่นคงของมนุษย์  โรงพยาบาลของรัฐทุกแห่ง  ควรจะต้องจัดระบบด้านสวัสดิการสังคม ที่เปิดโอกาสให้นักวิชาชีพด้านจิตวิทยา  นักสังคมสงเคราะห์  เลือกที่จะทำงานด้านบริการให้คำปรึกษาแนะนำโดยตรงได้   และหรือสามารถเลือกงานด้านการให้บริการจัดสวัสดิการสังคมเพื่อก้าวไปสู่การเป็นนักบริหารในองค์กรนั้น ๆ  นั่นคือขยายบริการให้คำปรึกษาแนะนำให้กว้างขึ้น  เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงความช่วยเหลือโดยตรงได้  และเป็นการฝึกนักวิชาชีพที่ต้องการสะสมประสบการณ์เพื่อสามารถก้าวต่อไปในการเปิดคลินิกเฉพาะทางได้  เรียกว่าเป็นนักวิชาชีพอย่างแท้จริง

  1. 5.              เป็นที่เข้าใจดีว่า  หลายสิบปีมานี้ ประเทศไทยเสียเวลาและสูญเสียทรัพยากรของประเทศไปมาก

มายกับการพัฒนาเศรษฐกิจและการเมืองในระบอบทุนนิยมสามานย์ ที่มุ่งเน้นสนับสนุนพรรคพวกและเครือญาติเพื่อประโยชน์ส่วนตนมากกว่าส่วนรวม  ซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตและสภาพจิตใจของคนไทยทั่วไปในสังคม การจะ”ปฏิรูป”  เพื่อปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสังคมไทยให้เจริญรุ่งเรืองและมั่นคงในหนทางที่สร้างสรรค์ จึงเป็นเรื่องจำเป็น โดยเฉพาะกลุ่มนักวิชาชีพด้านสุขภาพจิตและผู้ให้บริการประชาชนในปัจจุบัน จะต้องเชื่อมั่นและหนักแน่น มองเห็นผ่านไปถึงในอนาคตของชาติให้ได้ว่าประชาชนต้องการอะไร  และที่สำคัญคือ เราจะตอบสนองต่อความต้องการของคนไทยเราได้อย่างไรบ้าง  เพราะนี่คือ  “หน้าที่ของพลเมืองไทยทุกคน!”

จึงหวังว่า ข้อมูลและเอกสารที่ดิฉันส่งถึงท่านครั้งนี้  จะช่วยขยายโลกทัศน์ให้ท่านในฐานะฝ่ายบริหารระดับสูง โดยเฉพาะกลุ่มคณาจารย์ ข้าราชการ จะได้เปิดใจ ให้ความสำคัญแก่ประโยชน์ส่วนรวมของประชาชนและประเทศชาติ ทำหน้าที่ของท่านให้ดีที่สุด  เพื่อรักษาเกียรติและศักดิ์ศรีที่ได้ชื่อว่าเป็น ข้าราชการไทย ผู้รักแผ่นดิน              

                                                                    ผู้ช่วยศาสตราจารย์ (พิเศษ) อรอนงค์ อินทรจิตร

 ประธานกรรมการบริหาร  มูลนิธิศูนย์ฮอทไลน์

www.hotline.or.th 

 

 
 
 
 
hotline  
  Counter 206,118 หน้าหลัก | หลักสูตร | รายงานการฝึกอบรม | ข่าวสาร | วิทยากร | ติดต่อเรา